ย่อคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๒๓/๒๕๔๗
ผู้ฟ้องคดี นายสมนึก เขียวหอม
ผู้ถูกฟ้องคดี คุรุสภา
กรณีเรื่อง การส่งเงินฌาปนกิจสงเคราะห์
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ (มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง)คดีปกครองนี้รับฟังได้ว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจของสมาคมกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นสมาชิกส่งเงินสงเคราะห์รายศพเพิ่มขึ้นตามระเบียบคุรุสภา ว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนสมาชิกคุรุสภา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่ เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีสมัครเป็นสมาชิก ช.พ.ค. กับผู้ถูกฟ้องคดีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งในขณะนั้นผู้ถูกฟ้องคดีกำหนดให้สมาชิกส่งเงินสงเคราะห์รายศพเมื่อสมาชิก ช.พ.ค. ถึงแก่ความตายศพละ ๒๕ สตางค์ ต่อมา เพิ่มเป็นศพละ ๕๐ สตางค์ ตามลำดับ ตามระเบียบคุรุสภา ว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนสมาชิกคุรุสภา พ.ศ. ๒๔๘๘ โดยในปัจจุบันผู้ถูกฟ้องคดีได้แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบดังกล่าว โดยกำหนดให้สมาชิกส่งเงินสงเคราะห์รายศพเมื่อสมาชิก ช.พ.ค. ถึงแก่ความตายศพละ ๑ บาท ตามระเบียบคุรุสภา ว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกคุรุสภา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนเงินสงเคราะห์ดังกล่าว จึงเกิดขึ้นมาจากกิจการที่ผู้ฟ้องคดีสมัครใจเข้าร่วมกับผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพหรือจัดการศพ และสงเคราะห์ครอบครัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ตกลงเข้าร่วมกันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย และมิได้ประสงค์จะหากำไรหรือรายได้เพื่อแบ่งปันกันอันมีลักษณะเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ เงินสงเคราะห์ดังกล่าวจึงเป็นเงินที่สมาชิกร่วมกันออกช่วยเหลือเป็นค่าจัดการศพหรือค่าจัดการศพ และสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกซึ่งถึงแก่ความตายรวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์นั้น ตามบทนิยามในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่อกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีมีลักษณะเป็นสมาคม ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนเงินสงเคราะห์ รายศพที่สมาชิกของสมาคมจะต้องส่งให้แก่สมาคม จึงเป็นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจอันเนื่องมาจากการดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาคมที่ผู้ฟ้องคดีสมัครใจเข้าร่วมนั้น การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดดังกล่าว จึงไม่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายฝ่ายเดียวบังคับให้ผู้ฟ้องคดีต้องกระทำการใดโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
ประเสริฐ/จัดทำ
พรพิมล/พิมพ์ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๘