กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 ฉบับนี้คืออะไร?
เป็นกฎหมายที่กำหนด “กติกา” ที่ชัดเจนและเป็นธรรม สำหรับบริษัทที่มี “กองทุนเงินสงเคราะห์” ของตัวเอง (ไม่ใช่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) เพื่อดูแลลูกจ้างในกรณีที่ต้องออกจากงานหรือเสียชีวิต โดยกฎเกณฑ์นี้จะทำให้ลูกจ้างมั่นใจได้ว่าเงินที่สะสมไว้จะปลอดภัยและได้รับคืนอย่างแน่นอน
สรุปสาระสำคัญสำหรับ “นายจ้าง” และ “ลูกจ้าง”
หน้าที่ของนายจ้าง (สิ่งที่บริษัทต้องทำ):
1.จัดทำข้อบังคับเป็นลายลักษณ์อักษร: ต้องมีเอกสารระบุกฎเกณฑ์เรื่องเงินสงเคราะห์ให้ชัดเจน อย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเรื่อง:
1.1 อัตราเงินสะสม (ลูกจ้างจ่าย) และ เงินสมทบ
1.2 วิธีการเก็บเงิน (เช่น หักจากเงินเดือน)
1.3 วิธีตรวจสอบยอดเงิน
1.4 วิธีคำนวณผลประโยชน์ (ดอกเบี้ย)
1.5 การกำหนดผู้รับเงินกรณีลูกจ้างตายหรือสาบสูญ (ตามพินัยกรรมหรือทายาท)
2. การหักและจ่ายเงิน:
2.1 หักเงินสะสมจากค่าจ้างลูกจ้างทุกครั้งที่จ่ายค่าจ้าง พร้อมเงินสมทบจากนายจ้าง โดยอัตราต้องไม่ต่ำกว่าที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกำหนด [2-15%]
2.2 ต้องนำเงินไปฝากธนาคารหรือสถาบันการเงินในบัญชีชื่อลูกจ้างแต่ละคน
3. ขั้นตอนและระยะเวลาการจ่ายเงินคืน เมื่อลูกจ้างออกจากงานหรือเสียชีวิต
เปิดบัญชีธนาคารในชื่อลูกจ้าง: นี่คือหัวใจสำคัญ! นายจ้างต้องนำเงินสะสมและเงินสมทบไปฝากไว้ในบัญชีธนาคารที่เปิด “เป็นชื่อของลูกจ้างแต่ละคนโดยเฉพาะ” ไม่ใช่บัญชีรวมของบริษัท
4. แจ้งข้อมูลให้ลูกจ้างทราบ: ต้องแจ้งรายละเอียดบัญชี (ชื่อธนาคาร, เลขที่บัญชี) ให้ลูกจ้างทราบภายใน 7 วันหลังหักเงินครั้งแรก
5. อำนวยความสะดวกเมื่อจ่ายเงินคืน:
5.1 กรณีลูกจ้างออกจากงาน: ต้องคืนสมุดบัญชีและออกหนังสือรับรองการสิ้นสุดสภาพการจ้างให้ลูกจ้างภายใน 30 วัน เพื่อให้ลูกจ้างนำไปถอนเงินที่ธนาคารได้ด้วยตนเอง
5.2 กรณีลูกจ้างเสียชีวิตหรือสาบสูญ: ต้องช่วยเหลือผู้รับผลประโยชน์ (ตามที่ลูกจ้างระบุไว้) หรือทายาทตามกฎหมายในการเบิกเงิน
สิทธิของลูกจ้าง (สิ่งที่ลูกจ้างจะได้รับ):
1. มีบัญชีเงินออมเป็นของตัวเอง: เงินสงเคราะห์จะถูกเก็บไว้ในบัญชีธนาคารที่เป็นชื่อของคุณ ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินไม่หายไปไหน
2. ตรวจสอบยอดเงินได้: มีสิทธิ์ขอดูหรือตรวจสอบยอดเงินในบัญชีของตนเองได้ โดยนายจ้างต้องแสดงหลักฐานให้ทราบภายใน 15 วันหลังยื่นคำขอ
3. ได้รับเงินคืนเมื่อออกจากงาน: เมื่อลาออก เกษียณ หรือถูกเลิกจ้าง จะได้รับเอกสารจากนายจ้างเพื่อไปถอนเงินสะสม+เงินสมทบ+ผลประโยชน์ทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง
4. กำหนดผู้รับผลประโยชน์ได้: สามารถทำหนังสือระบุตัวบุคคลที่จะรับเงินก้อนนี้ได้หากลูกจ้างเสียชีวิตหรือสาบสูญ หากไม่ได้ระบุไว้ เงินจะตกเป็นของทายาทตามกฎหมาย
ประเด็นสำคัญที่ต้องรู้:
* วันบังคับใช้: กฎกระทรวงนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
* วัตถุประสงค์: เพื่อสร้างมาตรฐานให้บริษัทที่จัดสวัสดิการเงินสงเคราะห์เอง มีความโปร่งใสและคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างให้เทียบเท่ากับกองทุนของภาครัฐ
เหตุผลในการออกกฎกระทรวง:
เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสงเคราะห์ลูกจ้างที่ออกจากงานหรือเสียชีวิต เพื่อให้กิจการที่จัดสวัสดิการเหล่านี้ได้รับการยกเว้นจากการเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามมาตรา 130 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
Google AI Studio