หลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกสมาคม

การระบุผู้รับเงินสงเคราะห์ครอบครัวกรณีที่สมาชิกสมาคมถึงแก่ความตายต้องระบุชื่อผู้จัดการศพหรือผู้รับสงเคราะห์ตามข้อบังคับสมาคมฯข้อ 24 ไว้ในใบสมัคร หรือถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง สมาชิกต้องแจ้งให้สมาคมทราบเป็นหนังสือตามแบบที่สมาคมกำหนด กรณีที่สมาชิกสมาคมเป็นสมาชิกสหกรณ์มีหนี้สินหรือภาระผูกพันกับสหกรณ์ดังกล่าวได้ระบุให้สมาคมหักจ่ายตามจำนวนที่ค้างจ่ายทั้งหมดให้ก่อนจ่ายให้ผู้รับเงินเคราะห์ที่ระบุไว้ในใบสมัครหรือใบเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดก็อาจกระทำได้ตามแนวคำวินิจฉัยของศาลฏีกาโดยที่ประชุมใหญ่ซึ่งได้สรุปย่อสาระสำคัญ ดังนี้
คำวินิฉัยของศาลฎีกาคดีเงินฌาปนกิจสงเคราะห์
กรณีที่ 1 สมาชิกทำข้อตกลงกับสมาคมฯให้สหกรณ์ฯเป็นผู้รับประโยชน์จากเงินสงคราะห์ตกเป็นโมฆะหรือไม่ (ศาลจังหวัดชัยภูมิ)
(1) ฎีกาที่ 608/2566 ระหว่าง ภรรยาและบุตร โจทก์ กับสหกรณ์ฯและสมาคมฯ จำเลย
– ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ
(2) ฎีกาที่ 609/2566 ระหว่าง บุตรทั้งสอง โจทก์ กับสหกรณ์ฯและสมาคมฯ จำเลย
- ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ
(3) ฎีกาที่ 610/2566 ระหว่าง ภรรยาและบุตร โจทก์ กับสหกรณ์ฯและสส.ชสอ. จำเลย
– ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงิน ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
(4) ฎีกาที่ 941/2566 ระหว่าง ภรรยาและบุตร โจทก์ กับสหกรณ์ฯและสสอค. จำเลย
– ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ
คำพิพากษาของศาลฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าคดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า
(1) สหกรณ์ฯตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้สมาชิกได้ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำนองเดียวกันกับวัตถุประสงค์ของสมาคมฯที่บุคคลหลายคนตกลงเข้าร่วมกันเพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพหรือจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ตกลงเข้าร่วมกันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย และมิได้ประสงค์จะหากำไรหรือรายได้เพื่อแบ่งปันกัน
(2) เมื่อกิจการสหกรณ์ฯและสมาคมฯต่างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของสมาชิก ผู้ตายซึ่งเป็นทั้งสมาชิกของสมาคมฯและสหกรณ์ฯ จึงชอบที่จะแสดงเจตนาต่อสมาคมฯเพื่อให้สหกรณ์ฯในฐานะเจ้าหนี้ของผู้ตายเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเงินสงเคราะห์เมื่อสมาชิกคนดังกล่าวถึงแก่ความตาย
(3) การแสดงเจตนาดังกล่าวนอกจากจะมีผลเป็นการลดภาระหนี้สินที่จะตกทอดแก่ทายาทของผู้ตายอันจะเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะทายาทของผู้ตายแล้วยังเป็นผลการช่วยเหลือเกื้อกูลสมาชิกของสหกรณ์ในทางอ้อมอีกด้วย
(4) แม้ข้อบังคับของสมาคมฯข้อ 11 ระบุไว้ว่าผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกจะต้องระบุชื่อเป็นผู้จัดการศพและผู้ที่ประสงค์จะให้ได้รับเงินสงเคราะห์ ซึ่งจะต้องเป็นบุคคลในครอบครัวของตนตามข้อ 23ไว้ให้ชัดในใบสม้คร และข้อบังคับข้อ 23 ระบุไว้ว่า เมื่อสมาชิกผู้ใดถึงแก่ความตาย บุคคลในครอบครัวของสมาชิกผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินค่าจัดการศพและเงินสงเคราะห์ครอบคร้วตามลำดับ ก็หามีผลต่อการแสดงเจตนาของผู้ตายที่กระทำโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสมาคมฯและสหกรณ์ฯในคดีนี้ไม่ ส่วนเรื่องการแสดงเจตนาระบุไว้ในใบสมัครของสมาคมนั้น เป็นอีกเรื่องต่างหาก
(5) การพิจารณาเรื่องสิทธิต้องพิจารณาเรื่องหน้าที่ที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนประกอบด้วย ดังนั้น การที่ผู้ตายตกลงกับสมาคมฯโดยให้สหกรณ์ฯซึ่งมิได้เป็นบุคคลในครอบครัวของผู้ตายเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเงินสงเคราะห์นั้น จึงมิใช่เป็นการทำนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน อันจะตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150
พิพากษา ให้ยกฟ้อง
กรณีที่ 2 สมาคมฯมีสิทธินำเงินค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวไปหักชำระหนี้ที่ผู้ตายค้างชำระต่อสหกรณ์ฯ หรือไม่ และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่(ศาลจังหวัดตาก)
ฎีกาที่ 611/2566 ระหว่าง ภรรยาและบุตร โจทก์ กับสมาคมฯและสหกรณ์ฯ จำเลย
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ
คำพิพากษาศาลฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าคดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า
(1) ผู้ตายสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฯโดยมีข้อกำหนดในใบสมัครว่า ถ้าตนถึงแก่ความตาย ขอมอบให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับเงินสงเคราะห์และจัดการศพเพื่อชำระหนี้สหกรณ์ฯ จะเห็นว่าตามใบสมัครสมาชิกดังกล่าวระบุชัดเจนว่าเพื่อชำระหนี้ตามจำนวนที่ค้างชำระก่อน
ผู้ตายเป็นคู่สัญญากู้เงินหรือค้ำประกันเงินกู้โดยตรงกับสหกรณ์ฯและต้องถือว่าสหกรณ์ได้แสดงเจตนาว่าจะถือประโยชน์จากสัญญานั้นตลอดมาตั้งแต่ผู้ตายสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฯ สหกรณ์จึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 374 และมาตรา 375
(2) ภรรยา ในฐานะหนี้ร่วมและฐานะทายาทโดยธรรมและบุตรในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายจึงต้องชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ตามที่ระบุยินยอมชำระหนี้ไว้ตามใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฯและสหกรณ์ฯมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำนิยาม”เงินสงเคราะห์” สมาคมฯจึงชอบที่จะโอนเงินค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวให้แก่สหกรณ์ฯเพื่อชำระหนี้ของผู้ตาย การกระทำดังกล่าวหาเป็นการละเมิดต่อข้อกฎหมายหรือผิดข้อตกลงดังที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างแต่อย่างใด
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
กรณีที่ 3 เรียกทรัพย์คืน(ศาลจังหวัดศรีสะเกษ)
คดีหมายเลขดำที่ ผบ 1/2554 ระหว่าง บุตร โจทก์ กับสหกรณ์ฯ จำเลย
ศาลพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ เอกสารท้ายคำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่า
ผู้ตายสม้ครเป็นสมาชิกสมาคมฯโดยระบุในใบสมัครให้สหกรณ์ฯเป็นผู้รับเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งผู้ตายเป็นสมาชิกสหกรณ์อันดับที่ 1 และสามีเป็นอันดับ 2
ดังนั้น สหกรณ์ในฐานะเจ้าหนี้ของผู้ตายซึ่งผู้ตายเป็นลูกหนี้สัญญาเงินกู้และสัญญาค้ำประกันเงินกู้ จึงมีสิทธินำเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาคมฯและเงินตามโครงการเงินบริจาคเมื่อสมาชิกถึงแก่กรรม(คบส)มาหักชำระหนี้ดังกล่าวได้
พิพากษา ยกฟ้อง
เอกสารอ้างอิง คำพิพากษาย่อ
(1) ฎีกาที่ 608/2566 – 7 กุมภาพันธ์ 2566
(2) ฎีกาที่ 609/2566 – 7 กุมภาพันธ์ 2566
(3) ฎีกาที่ 610/2566 – 7 กุมภาพันธ์ 2566
(4) ฎีกาที่ 611/2566 – 7 กุมภาพันธ์ 2566
(5) ฎีกาที่ 941/2566 – 22 กุมภาพันธ์ 2566
(6) คดีหมายเลขดำที่ ผบ 1/2554 – 5 มกราคม 2554
สรุปว่า กระทำได้โดยสมาชิกทำนิติกรรมกับสหกรณ์ต้นสังกัดกรณีกู้เงินหรือสินเชื่อซึ่งอาจระบุไว้ในสมัครสมาชิกสมาคมและหรือทำคำยินยอมให้สหกรณ์สามารถส่งหักเงินจากสมาคม
ศักรินทร์ สุรินทราบูรณ์
ที่ปรึกษาสหกรณ์ออมทรัพย์ครูระยอง จำกัด
ที่ปรึกษาสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯ สอ.ครูระยอง 1,2และ3
กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สันนิบาตสหกรณ์จังหวัดระยอง