สาระสำคัญของ พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530และที่แก้ไขเพิ่มเติม
1. วัตถุประสงค์และหลักการพื้นฐาน
1.1 ส่งเสริมการออม: เป็นกฎหมายที่ส่งเสริมให้ลูกจ้างมีการออมเงินระยะยาวเพื่อเป็นหลักประกันเมื่อออกจากงาน, เกษียณอายุ, หรือเสียชีวิต
1.2 ความสมัครใจ: การจัดตั้งกองทุนเป็นไปตาม ความสมัครใจ ของทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ไม่ใช่ข้อบังคับทางกฎหมาย
1.3 การสมทบสองฝ่าย: กองทุนเกิดจากเงิน 2 ส่วนหลัก คือ
* เงินสะสม: ส่วนที่ลูกจ้างจ่าย (หักจากค่าจ้าง)
* เงินสมทบ: ส่วนที่นายจ้างจ่ายเพิ่มให้
2. การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(Provident Fund=PVD)
2.1 ต้องจดทะเบียน: กองทุนจะจัดตั้งได้เมื่อนายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน และต้องนำไป จดทะเบียนกับนายทะเบียน (ก.ล.ต.ซึ่งกำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง)
2.2 เป็นนิติบุคคล: เมื่อจดทะเบียนแล้ว กองทุนจะมีสถานะเป็น “นิติบุคคล” แยกต่างหากจากกิจการของนายจ้าง ทำให้ทรัพย์สินของกองทุนถูกคุ้มครองและไม่ปะปนกับทรัพย์สินของบริษัท
2.3 มีข้อบังคับชัดเจน: กองทุนต้องมีข้อบังคับที่กำหนดรายละเอียดสำคัญ เช่น อัตราการจ่ายเงินสะสม/สมทบ, เงื่อนไขการรับเงิน, วิธีการจัดการ เป็นต้น
3. เงินกองทุนและการสมทบ
3.1 อัตราการจ่าย: ลูกจ้างและนายจ้างต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนในอัตรา ไม่ต่ำกว่า 2% แต่ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง (เว้นแต่จะตกลงจ่ายสูงกว่านี้โดยรัฐมนตรีอนุมัติ)
3.2 นายจ้างมีหน้าที่นำส่ง: นายจ้างมีหน้าที่หักเงินสะสมของลูกจ้างและนำส่งพร้อมเงินสมทบของนายจ้างเข้ากองทุนภายใน 3 วันทำการนับจากวันจ่ายค่าจ้าง หากส่งช้าต้องเสียเงินเพิ่ม
3.3 ผลประโยชน์จากการลงทุน: เงินในกองทุนจะถูกนำไปลงทุนเพื่อให้เกิดผลประโยชน์งอกเงย ซึ่งจะถูกจัดสรรเข้าบัญชีของสมาชิกแต่ละคน
4. การบริหารจัดการกองทุน
4.1 คณะกรรมการกองทุน: มีคณะกรรมการกองทุนที่มาจาก ตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง (จากการเลือกตั้ง) และ ตัวแทนฝ่ายนายจ้าง (จากการแต่งตั้ง) ทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของกองทุน
4.2 ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ: การจัดการลงทุนจะต้องดำเนินการโดย “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน” (บลจ.) ที่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น นายจ้างไม่สามารถบริหารเงินลงทุนเองได้ เพื่อความเป็นกลางและเป็นมืออาชีพ
4.3 นโยบายการลงทุน: สมาชิกสามารถ เลือกนโยบายการลงทุน ได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น นโยบายความเสี่ยงต่ำ, ปานกลาง, หรือสูง
5. สิทธิของสมาชิก (ลูกจ้าง) และการจ่ายเงิน
5.1 เงื่อนไขการรับเงิน: สมาชิกจะได้รับเงินเมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ เช่น ลาออก, เกษียณอายุ, หรือเสียชีวิต
5.2 สิทธิในเงินของตนเอง: ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ “เงินสะสม” (ส่วนของตน) พร้อมผลประโยชน์คืนทั้งหมดเสมอ
5.3 สิทธิในเงินสมทบ (ส่วนของนายจ้าง): การจะได้รับ “เงินสมทบ” พร้อมผลประโยชน์นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในข้อบังคับของกองทุน ซึ่งส่วนใหญ่มักกำหนดตาม ระยะเวลาการทำงาน
5.4 ทางเลือกในการรับเงิน (เมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ):
(1) รับเป็นเงินก้อน (Lump Sum): รับเงินทั้งหมดในครั้งเดียว
(2) คงเงินไว้ในกองทุน (Defer): สามารถคงเงินทั้งหมดไว้ในกองทุนเพื่อรอจังหวะลงทุนต่อหรือรอรับเมื่อต้องการได้
(3) รับเป็นงวด (Installment): สำหรับผู้ที่เกษียณอายุ สามารถทยอยรับเงินเป็นงวดๆ ได้
(4)โอนย้าย: สามารถโอนเงินไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ หรือโอนไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF For PVU) ได้
นอกจากนี้ยังสามารถลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ แต่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากยังอายุไม่ครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกกองทุนน้อยกว่า 5 ปี
5.5 ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
เงินสะสมที่นำส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้ และเมื่อรวมกับเงินออมเพื่อการเกษียณอายุประเภทอื่น เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) หรือเบี้ยประกันบำนาญแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
6. การคุ้มครองตามกฎหมาย: เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี กล่าวคือ เจ้าหนี้ไม่สามารถมายึดหรืออายัดเงินส่วนนี้ได้
ที่มา: สรุปสาระจาก พ.ร.บ. ,https://www.finnomena.com/finnomenafunds/what-is-provident-fund/ และ Google AI Studio